ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีสินค้าที่เหมาะสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อมาก เราก็จะส่งข้อมูลสินค้าที่มีประสิทธิภาพสูงและราคาสูงไปให้ลูกค้ากลุ่มนี้ โดยไม่กระทบกับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อน้อยที่อาจจะคิดได้ว่าสินค้าของบริษัทเรามีราคาแพงเกินไป ในขณะเดียวกันก็สามารถส่งข้อมูลสินค้าลดราคาไปหาลูกค้าที่มีกำลังซื้อน้อย โดยที่กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อมากไม่คิดว่าบริษัทของเรานั้นขายสินค้าไม่ได้คุณภาพ เป็นต้น
เมื่อมีการส่งอีเมลออกไปในจำนวนมากและแยกผู้รับสารได้นั้น อัตราการตอบกลับ (Response Ratio) ก็จะเพิ่มสูงขึ้นด้วย ซึ่งก็จะนำไปสู่การตอบรับโปรโมชั่นต่างๆ และการเข้าถึงสินค้าออกใหม่อีกด้วย
การส่ง Email เพื่อสอบถามความพึงพอใจ แจ้งการบริการหลังการขาย รวมไปถึงเกร็ดความรู้ต่างๆ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในส่วนบริการหลังการขายได้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะช่วย รักษาความสัมพันธ์ระหว่าง บริษัท, ทีม Customer Relation Support และลูกค้าแล้ว ยังช่วยสร้าง Brand และทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจในการบริการมากขึ้น ว่าเราห่วงใย ดูแลใส่ใจเขาอีกด้วย
Email marketing ถือว่าเป็นเครื่องมือแสนประหยัดเมื่อเทียบกับเครื่องมือการทำ Direct Marketing ประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นการใช้จดหมาย ใบปลิว โบรชัวร์ การโทรสายตรง การใช้ message ต่างๆ รวมไปถึงการให้เซลล์ไปพบเพื่อนำเสนอสินค้า เพราะการส่ง email นั้นมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 10 สตางค์ต่อ 1 อีเมลเท่านั้น!
การทำ Direct Marketing ประเภทอื่นนั้นวัดผลได้เพียงคร่าวๆ ว่ามีใครที่อ่านหรือปฏิสัมพันธ์กับเรามากน้อยเพียงใด แต่ในการส่งอีเมลนั้น ถ้าเราเลือกเครื่องมือการส่งที่ดีพอ เราจะสามารถทราบได้ว่า
- ส่งอีเมลไปถึงผู้รับจริงๆกี่คน
- อีเมลที่ส่งไปนั้นถูกเปิดอ่านกี่ฉบับ
- ข้อมูลเรื่องไหนที่ได้รับความสนใจมากที่สุด
- วันเวลาที่ถูกเปิดอ่านมากที่สุด
|